มองความท้าทาย UN ท่ามกลางทรัมป์ป่วนโลก ผ่านสายตาเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ‘เชิดชาย ใช้ไววิทย์’ (Part จบ)

มองความท้าทาย UN ท่ามกลางทรัมป์ป่วนโลก ผ่านสายตาเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ‘เชิดชาย ใช้ไววิทย์’ (Part จบ)

วันที่นำเข้าข้อมูล 12 มิ.ย. 2568

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 12 มิ.ย. 2568

| 30 view

เชิดชาย_ใช้ไววิทย์_UN

มติชนสัมภาษณ์พิเศษ “เชิดชาย ใช้ไววิทย์” เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ถึงผลกระทบต่อระบอบพหุภาคี หลังการปรับเปลี่ยนนโยบายแบบ 180 องศาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ส่งผลกระทบกับระเบียบโลก และการทำงานภายใต้กรอบพหุภาคีชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ว่าเราควรจะตั้งรับกับสิ่งนี้อย่างไร

 

การผลักดันความร่วมมือภายใต้กรอบพหุภาคียังเป็นไปได้จริงหรือไม่ ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย การแบ่งแยก และการยึดมั่นในประโยชน์ส่วนตนของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะมหาอำนาจอย่างสหรัฐ ที่ดูจะรุนแรงมากขึ้นในปัจจุบัน

 

การแสวงหาผลประโยชน์ของรัฐเป็นเรื่องปกติที่ทุกประเทศ รวมถึงไทย จะคำนึงถึงเป็นลำดับแรก อย่างไรก็ตาม โลกในปัจจุบันได้พัฒนาไปถึงจุดที่มีการยอมรับร่วมกันถึงความจำเป็นในการมีกฎ มีกรอบ กำกับพฤติกรรมและบทบาทของรัฐสมาชิก การแสวงหาประโยชน์ต้องอยู่ภายใต้กฎกติกาที่เป็นที่ยอมรับร่วมกัน และเปิดโอกาสให้รัฐสมาชิกสามารถใช้สิทธิได้อย่างเท่าเทียม ที่ไม่กระทบต่ออธิปไตยและสิทธิในการกำหนดตนเองของคนอื่น ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของพหุภาคีนิยม

 

ประเด็นจึงไม่ใช่ว่าพหุภาคีนิยมยังมีความสำคัญหรือไม่ และเราเลยจุดที่จะถกเถียงเรื่องนี้แล้ว แต่อยู่ที่ว่ารัฐสมาชิกจะช่วยพัฒนาปรับปรุงระบบกรอบกติกาดังกล่าว โดยเฉพาะ UN ให้ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และตอบรับกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไร สำหรับไทย อาเซียน เอเปค สหประชาชาติ (UN) องค์การการค้าโลก (WTO) ฯลฯ ล้วนเป็นเสาหลักในการขับเคลื่อนการทูตพหุภาคี

 

การรวมกลุ่มของอาเซียนที่มีประชากรกว่า 600 ล้านคน แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการบริหารจัดการความแตกต่างและความซับซ้อนในปมประวัติศาสตร์ของประเทศสมาชิก สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของระบอบพหุภาคีและภูมิภาคนิยม แน่นอน ผมเชื่อเสมอว่าการทูตของไทยและอาเซียนยังเป็น work in progress เราลองผิดลองถูกมาตลอด สำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง และก็เรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น แต่ผมเชื่อว่าเรามาถูกทาง

ในฐานะผู้แทนถาวรไทยประจำ UN มองว่าผลกระทบสำคัญที่ไทยจะต้องเตรียมพร้อมรับมือให้ดีจากความร่วมมือในเวทีพหุภาคีที่กำลังเปลี่ยนรูปแบบไปในขณะนี้คืออะไร

 

ผมมองว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องปกติ และเราต้องเรียนรู้ที่จะ embrace และยอมรับการเปลี่ยนแปลงเพราะจะนำไปสู่โอกาสใหม่ๆ ในการปรับตัวให้ทันสมัย ปรับตัวให้เชื่อมโยงและ relevant กับโลกและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

 

สิ่งสำคัญคือต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า วันนี้ไทยมีความสามารถในการรองรับการเปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงใด ตัวอย่างสำคัญคือ การขึ้นภาษีของสหรัฐ ซึ่งผมเชื่อว่าไม่ได้มาจากเหตุทางการค้า ที่ได้ก่อให้เกิด ripple effect ที่กำลังนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระเบียบ กติกา ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศใหม่ การ realign พันธมิตรการเมืองและการค้า การปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานครั้งสำคัญของโลก ประเด็นคือโครงสร้างรูปแบบเศรษฐกิจของไทยจำเป็นต้องพัฒนาปรับตัวอย่างไร และเรามีฐานราก ความแข็งแกร่งทางด้านทรัพยากรมนุษย์ ระบบการศึกษา ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และความยืดหยุ่นในการรองรับแรงกระแทกจากผลกระทบดังกล่าวมากน้อยเพียงใด

 

ผมอยากเห็นเศรษฐกิจไทยหันมา focus มากขึ้นกับการลงทุนในด้านการศึกษา การพัฒนาบุคลากร การสร้างความมั่นคงทางสังคม กฎระเบียบทางการค้าที่ทันสมัยและมีธรรมาภิบาล การผลิตและการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง การปรับตัวต่ออุตสาหกรรมหุ่นยนต์

 

วันนี้ ไทยต้องลดการพึ่งพาแหล่งรายได้ที่แขวนอยู่กับความผันผวนของตลาดการค้าระหว่างประเทศและท่องเที่ยว เราควรเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และแหล่งรายได้ที่ไทยจะสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ไม่ตกเป็นเบี้ยล่างใคร ไทยมีศักยภาพจะพัฒนาความยืดหยุ่นและความพร้อมรับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา แต่ต้องมองให้ไกล มองแบบ strategic และมองด้วยความเป็นมืออาชีพ 

การที่ไทยกำลังเข้าสู่กระบวนการเข้าเป็นสมาชิก OECD ก็เป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นให้เราปฏิรูปในเรื่องที่กล่าวมาข้างต้นได้เร็ว ครอบคลุม และมีมาตรฐานมากขึ้น กระบวนการดังกล่าวจะทำให้ไทยมี small government ที่มีประสิทธิภาพและคล่องแคล่ว

 

ในฐานะที่เคยเป็นอธิบดีกรมเศรษฐกิจฯ มาก่อน มองว่าท่าทีของสหรัฐต่อความร่วมมือในกรอบพหุภาคีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นองค์การการค้าโลก และเอเปค ที่ถูกลดทอนความสำคัญและหันมาใช้การทูตแบบทวิภาคีในการเจรจาเพื่อให้ได้สิ่งที่สหรัฐต้องการเป็นหลัก จะทำให้ความร่วมมือในกรอบพหุภาคีของโลกยังไปต่อได้หรือไม่ หรือมันจะปรับเปลี่ยนไปในทิศทางใด 

 

ผมคิดว่า การทูตพหุภาคี เป็นการ set กรอบกติกาที่เป็นสากล กำกับให้ประชาคมมีกฎระเบียบ มีธรรมนูญใหญ่ มีหลักการที่ resonates และทุกคนเคารพ ส่วนการทูตทวิภาคี เป็นการใช้ช่องภายใต้กรอบกติกาสากลระหว่างรัฐ ในการสร้าง output ของนโยบายต่างประเทศ เช่น ความตกลงทางการค้า การส่งเสริมการลงทุน การอำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนระดับประชาชนที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจและเงินตราหมุนเวียน สมการของพหุภาคีและทวิภาคีมันมีอยู่แค่นี้ และก็เป็น moving parts ที่แยกกันไม่ได้

 

การทูตพหุภาคีเกี่ยวข้องกับ “คนหมู่มาก” จึงไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องเข้าใจว่า ในหลักการนั้นทุกคนมีสิทธิมีเสียงเท่าเทียมกัน ในเวทีอย่าง WTO หรือเอเปคนั้น ก็เป็นเรื่องปกติที่รัฐหรือเขตเศรษฐกิจที่เป็นสมาชิกจะต้องมีจุดยืนที่จะปกป้องผลประโยชน์ของตนโดยเฉพาะในโลกที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจระหว่าง global north กับ global south ก็มีความใกล้เคียงกันมากขึ้น ทุกคนดูจะเสียงดังมากขึ้น

ผมเชื่อว่า สหรัฐยังให้ความสำคัญของกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจต่างๆ เพราะอย่างที่ผมกล่าวไว้แล้ว มันเป็นผลประโยชน์ของสหรัฐเองด้วย เราคงต้องเข้าใจด้วยว่า สหรัฐเป็นเขตเศรษฐกิจที่มีขนาดมหึมาและมีภาระค่าใช้จ่ายที่จะต้องแบกรับสูง เขาเองก็มีสิทธิที่จะคิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือประโยชน์อย่างที่ควรจากกรอบความร่วมมืออย่าง WTO หรือ UNFCCC (กรอบอนุสัญญา UN ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) แต่เราต้องแยกเรื่องนี้จากการดำเนินความสัมพันธ์ทวิภาคี เพราะมันเป็นฟันเฟืองคนละตัวกัน

 

ความเชื่อมั่นต่อระบบพหุภาคีที่ลดน้อยลงในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่เพราะสหรัฐเป็นต้นเหตุ แต่เป็นเพราะการทูตระดับ “คนหมู่มาก” เป็นเรื่องที่ซับซ้อน มีวัฏจักรขึ้นลงตามจังหวะการเมืองและเศรษฐกิจโลก ผมอยากให้เรามองการทูตพหุภาคีเสมือนกับ operating system ของประชาคมโลก การเมืองและเศรษฐกิจโลกวันนี้เดินทางมาไกลและสลับซับซ้อนเกินกว่าที่จะละทิ้งซอฟแวร์ดังกล่าวนี้ได้ เพียงแต่เราจะต้องเขียนและ update ซอฟแวร์ดังกล่าวให้ทันสมัยต่อโลกที่เปลี่ยนไป ทำนองเดียวกับการปฏิรูป UN ที่กำลังจะเกิดขึ้น

 

โลกกำลังเข้าสู่สภาวะที่เราไม่ได้เห็นมาก่อน และยังปรับตัวไม่ทัน คิดว่ามีความเป็นไปได้แค่ไหนเพียงใดที่เราจะได้เห็นโลกแบบแบ่งขั้วหรือเลือกข้างระหว่างจีน-สหรัฐ เพราะแม้ขณะนี้ทั้งสองประเทศดูจะยังไม่พร้อมจะตัดขาดกันจริงๆ แต่การดำเนินนโยบายของสหรัฐที่คาดเดาไม่ได้ ก็ทำให้เราไม่อาจมองว่าโลกมันจะไปต่อได้แบบราบรื่น

 

สิ่งที่เรียกกันว่า US-China “de-coupling” นั้น ไม่น่าจะเป็นไปได้ในโลกของความเป็นจริง ต่างจากการแข่งขันระหว่างสหรัฐกับสหภาพโซเวียต หรือ NATO กับ Warsaw Pact ในโลกสมัยสงครามเย็นที่หักล้างกันในยุทธศาสตร์การเมืองการทหารโลกที่มีเส้นชัยเป้าหมายที่ชัดเจน วันนี้ความสัมพันธ์จีน – สหรัฐ มี dynamic ที่เฉพาะตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ทั้งสองประเทศถูกผูกกันด้วย global supply chain ที่สลับซับซ้อน การค้าระหว่างกันที่มีมูลค่ามหาศาล การพึ่งพาซึ่งกันและกัน ซึ่งล้วนเป็นสภาพข้อเท็จจริงที่ทั้งสองมหาอำนาจไม่สามารถสลัดพ้นได้ และที่สำคัญคือทั้งสองฝ่ายยังมีพื้นที่ที่จะพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกันได้อีกมหาศาล

 

ผมไม่คิดว่า การดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทยจะต้องตั้งอยู่บน false narrative ของการที่จะต้อง “เลือกข้าง” ระหว่างมหาอำนาจใดหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยเฉพาะในยุคปัจจุบันไม่ได้ functions ในลักษณะนั้น และหากการแบ่งขั้ว realignment มันเกิดขึ้นจริง อย่างน้อยก็ไม่ใช่สำหรับประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทยที่จะอยู่ในสถานะเลือกข้าง ย้ายค่าย เปลี่ยนโปรอะไรได้ niche ของไทยมันไม่ใช่เรื่องแบบนี้ แต่ประเด็นที่สำคัญคือ ไทยต้องใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ระหว่างรัฐให้ถูกที่ ถูกเวลา มีหลักการ และ make sense สำหรับการขับเคลื่อนผลประโยชน์ของไทย

 

การประชุมทูตที่กำลังจะมีขึ้นในสัปดาห์นี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่จะได้ระดมสมองในการจัดความสำคัญของนโยบายต่างประเทศ ท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนในปัจจุบันได้แค่ไหนอย่างไร

 

เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากมากนะครับ ผมคิดว่าการทูตไทยในวันนี้กำลังเผชิญปัญหามากมายที่มาจากหลายๆ ปัจจัยทั้งภายในและภายนอก กระทรวงการต่างประเทศเองมีหน้าที่อยู่แล้วที่จะต้องอ่านสถานการณ์ให้ออก และแนะนำรัฐบาลให้ได้ว่า วันนี้ไทยจะต้องปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง ในทางกลับกัน เราก็ต้องฟังความเห็นจากภาคส่วนต่างๆ ประกอบการทำแผนงานด้านการต่างประเทศที่ตอบสนองผลประโยชน์ของสังคมให้ได้มากที่สุด

 

ปีหน้าไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุม World Bank อีก 3 ปีข้างหน้า ไทยจะกลับมาทำหน้าที่ประธานอาเซียน อีก 4-5 ปีข้างหน้า ไทยจะเข้าเป็นสมาชิกของ OECD และเราคงไม่ต้องรอนานจนเกินไปที่จะเห็นไทยกลับมาเป็นเจ้าภาพเอเปค มีโอกาสเป็นเจ้าภาพ World Expo กลับเข้าไปดำรงตำแหน่งประธานสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ กลับไปมีที่นั่งในคณะมนตรีความมั่นคงแห่ง UN การปรับตัวให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงจึงเป็นเรื่องสำคัญ ไทยจะต้องมี visibility เราจะต้องลงทุนในเรื่องบทบาทของไทยในต่างประเทศ ให้ไทยกลับไปมีบทบาทนำในภูมิภาค เราคงต้องมามองกันยาวๆ ว่าจะบริหารทรัพยากรอย่างไรเพื่อสร้างความพร้อมให้กับบุคลากรและองคาพยพของกระทรวงการต่างประเทศ

 

ผมจึงคิดว่า การประชุททูตที่จะมีขึ้น เป็นโอกาสสำคัญมากที่ทูตไทยทั่วโลกจะเข้ามารับฟัง เข้ามาพูดคุย ให้ความเห็นทั้งจากแง่มุมภาพใหญ่คือการทูตที่ UN และภาพรายภูมิภาคและรายประเทศ เอามาช่วยกันจัดเรียงความสำคัญของการดำเนินนโยบายรวมของไทย มามองกันว่า เราจะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อย่างไร อะไรที่ทำแล้วจะ make sense ที่สุดบนข้อจำกัดทั้งในเรื่องคน เรื่องเงิน และขีดความสามารถของไทย อะไรที่เป็น priority ของรัฐบาลที่ทูตจะต้องนำไปปฏิบัติให้เกิดผล และขณะเดียวกันสร้าง positive impact ให้กับโลกภายนอก

 

การทูตต้องเป็นเรื่องที่กินได้ ประชาชนเข้าใจ และมี ownership... 

 

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichon.co.th/foreign/news_5223069